Lyrics

ณ ท้องพระโรงอันเงียบงัน แสงจันทร์กระจ่างฟ้า
ณ บัดนี้ ลมยังคงโชย มิคลาย
คล้ายดังไม่รับรู้ ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เพราะเมื่อย้อนมอง ชีวิตที่ผ่านมา
ข้าสูญเสียสิ่งใดไป ? ... ข้าได้สิ่งใดมา ?
ตัวข้าเกิดมาในราชวัง ผู้สืบทอดบัลลังก์ ก็คือข้า ดุจดังนก ที่บินบนฟ้า
ผู้ใดเข้าใจ
ทรัพย์สมบัติข้าทับซ้อน ญาติพี่น้องถักทอโดยอำนาจ ข้าเกิดมา ในบรรยากาศเช่นนี้
ไม่มีผู้ใดให้เชื่อใจ ที่จะพอไว้ใจได้จริง เพราะความเป็นจริง
นี่คือเกมส์ชิงบัลลังก์
ถ้าหากข้าจะมีความรักอย่างพี่น้อง ก็ไม่อาจมีคำว่าอำนาจ หากคิดจะมีอำนาจ
พี่น้องเครือญาติ ก็ไม่อาจ .. จะมี
เพราะจุดที่สูงสุดนั้น มันมีได้เพียงผู้เดียว คือคนผู้เดียวดาย
พี่น้อง ไม่อาจไว้ใจ ลูกและเมีย ไม่อาจไว้ใจ ตำแหน่งที่ข้ายืน ไม่อาจไว้ใจผู้ใด
เพราะคนตายที่ข้าเคยเห็น อาจมากกว่าคนเป็น ที่พวกเจ้าเคยเจอ
คนบนบัลลังก์ ไม่อาจแม้เพียงจะเผลอ
วาจาเพียงไม่กี่คำ พฤติกรรมเพียงก้าวล่วง หัวคนนับไม่ถ้วนก็ต้องร่วงลงดิน
กฎหมายไม่สำคัญ ถ้าสถานะมันนั้นคุกคามข้า ข้าให้จับคน หรือยังมากลัว ข้อหาไม่มี
ไม่ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องมีหลักการ ใครทำงานตามนี้ได้ ให้เป็นใหญ่
รอบตัวข้า พอเนิ่นนานไป มันจึงห้อมล้อมไป ... แต่คนแบบนี้
บนจุดที่สูง ...สุดที่ข้ายืน ข้าเหมือนหลงลืมอะไรไปบางอย่าง
บนเกมส์ช่วงชิงอันยาวนานเกมส์นี้
ทั้งเล่ห์ร้าย กลอุบาย แต่เบื้องบนยังไง เบื้องล่างก็อย่างนั้น เจ้านายร้ายยังไง
ลูกน้อง ก็เหมือนกัน
ความเลวร้ายจึงทับถม ดั่งสั่งสมเชื้อเพลิงไว้มากมาย ฟางเส้นสุดท้าย
คือประกายไฟเพียงวูบเดียว
จนไฟลุกโชน ลมพัดแรง การเปลี่ยนแปลงจึงสั่นไหว
จนสายลม ได้เปลี่ยนทิศไป มันก็ไม่มีใคร
และเมื่อผลประโยชน์ ได้เปลี่ยนทิศไป
มันก็ไม่มีใคร ... สนใจข้าอีก .... สนใจ ข้าอีกเลย
Solo :
 สายลมแผ่วพริ้ว ปลิวระคนแสงจันทร์กระจ่าง
 วันเวลาอันงดงาม ได้จบลงแล้ว
ไม่มีอีกแล้ว ที่เคยหมอบคลาน ประจบเอาใจ ไม่มีอีกแล้ว ที่เคยเอ่ยคำ จงรักภักดี
มันไม่มีอีกแล้ว ... ข้าเพิ่งเข้าใจ
ข้าเพิ่งเข้าใจ ที่เขาก้มหัวให้ ไม่ใช่ฉัน ข้าเพิ่งเข้าใจ ที่เขาเคยเอาใจ มิใช่เรา
วันวานที่ท้องพระโรงยังแซ่ซ้องคำ ... จงรักภักดี
แต่จงรัก ภักดี คำ ๆ นี้ไม่อาจกล่าว ในยามสงบ จงรักภักดี คำ ๆ นี้
พิสูจน์ยามแผ่นดินเปลี่ยนเจ้าของ
และยามนี้ท้องพระโรงว่างเปล่า ไม่มีผู้ใด ... เหลือ
เพราะว่าใครจะมาขึ้นเป็นใหญ่ นายใหม่เป็นใครไม่สำคัญ ขอเพียงประกัน
ตำแหน่งพวกเขานั้น ... อยู่ที่เดิม
เพราะพวกเขาแค่เพียง ออกความเห็น ส่วนข้านั้นเป็น คนเดิมพัน
ถ้าชนะมาพวกเขาก็รับรางวัล ถ้าพ่ายแพ้ขึ้นมา ..พวกเขาก็เปลี่ยนนาย ... พวกเขา
ก็แค่ ..เปลี่ยนนาย
เพราะจุดที่สูงสุดนั้น มันมีแค่เพียงคนเดียว และเป็นคนเดียว ที่ต้องจากไป
ลูกน้อง ไม่ต้องไป ที่ปรึกษา ก็ไม่ต้องไป คนที่จะต้องไป มีเพียงผู้เดียว
บนท้องพระโรงอันเงียบงัน ท่ามกลางแสงจันทร์ กระจ่างฟ้า มันจึงมีข้า
ที่ยืนเดียวดายผู้เดียว
สูงสุดที่ใฝ่ฝัน ทิวทัศน์บนนั้น มันงามจริง ๆ หรือ ? คำตอบเป็นเช่นไร ก็คงไม่
สำคัญแล้ว
เพราะฟ้าใกล้จะสางแล้ว และนั่นคือเวลา ที่ข้าต้องจาก ชะตากรรมบังลังก์คงยาก
จะเหนี่ยวรั้ง
เพราะอาคารใหญ่จะล้มลง เสาเพียงหนึ่งต้นไม่อาจค้ำ
แต่ความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นนั้น ...มันเพราะใคร
เพราะข้ากุมกำลังทหาร กุมทั้งกำลัง ทั้งอำนาจ แต่ความเปลี่ยนแปลง
มันยังคงซัดสาดจนพังทะลาย
หรือที่เปลี่ยนแปลง มันมิใช่กฎหมาย ,กุศโลบาย หรือยุทธภัณฑ์
ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นคือ ... คือ ใจคน
คือคนปลายดอย คนป่าเขา คือชาวนาเฒ่ากลางท้องนา คือนิสิต ที่ท่องตำรา
คือพ่อค้าแม่ค้า ...ตามข้างถนน
หากว่าใจข้าพอจะมีพวกเขา ในใจพวกเขาคงพอจะมีข้า แต่กาลเวลานั้นได้ผ่านไปแล้ว
...ไม่หวนคืน
ข้ากวาดตามอง ณ. ท้องพระโรงอันว่างเปล่า เหลียวมอง ดูทุกสิ่ง ที่เป็นของตัว
โต๊ะไม้ ,บานประตู ที่ข้าเคยคุ้นตา มาตั้งแต่เด็ก
ราชบัลลังก์ ,ตราลัญจกร บัดนี้ถึงเวลา ต้องเปลี่ยนเจ้าของ
คมถ้อยคำ แสนธรรมดา เริ่มชัดขึ้นมา ..ให้ข้าได้เห็น
ว่า ตำแหน่งกษัตริย์นั้นผลัดกันเป็น ไม่มียกเว้น เป็นกฎเกณฑ์ธรรมดา
พอข้ามองย้อนกาลเวลา น้ำตา ... ก็ไหล...
เพราะกว่าข้าจะรู้ตัว ก็คือเมื่อถูกทิ้ง จึงได้พบความจริง ในตอนสุดท้าย
ว่าฮ่องเต้ ในอีกความหมาย คือผู้เดียวดาย
สูงสุด ในอีกความหมาย คือผู้เดียวดาย
คำว่า ฮ่องเต้ ในอีกความหมาย คือผู้เดียวดาย ...คนนึง .... คนนึง
instagramSharePathic_arrow_out